หัวเทียน: ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่สำคัญต่อประสิทธิภาพเครื่องยนต์

หัวเทียน: ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่สำคัญต่อประสิทธิภาพเครื่องยนต์ของคุณ
หัวเทียน (Spark Plug) เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์สันดาปภายใน แม้จะมีขนาดเล็กแต่กลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการจุดระเบิดและการทำงานของเครื่องยนต์ หากหัวเทียนมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสมรรถนะการขับขี่และการสิ้นเปลืองน้ำมัน บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับหัวเทียนให้มากขึ้น ตั้งแต่หน้าที่ไปจนถึงวิธีการเปลี่ยนด้วยตัวเอง
หัวเทียนทำหน้าที่อะไร?
หน้าที่หลักของหัวเทียนคือ สร้างประกายไฟเพื่อจุดระเบิดส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิง ภายในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เมื่อน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศถูกอัดแน่นในกระบอกสูบ หัวเทียนจะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงผ่านเขี้ยวหัวเทียน ทำให้เกิดประกายไฟ (Spark) ที่มีอุณหภูมิสูงพอที่จะจุดระเบิดส่วนผสมดังกล่าว ก่อให้เกิดการขยายตัวและดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ เป็นวัฏจักรที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้
นอกจากนี้ หัวเทียนยังมีหน้าที่ ระบายความร้อน บางส่วนออกจากห้องเผาไหม้ เพื่อรักษาอุณหภูมิการทำงานของหัวเทียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอีกด้วย
หัวเทียน ชิ้นส่วนสำคัญในการจุดระเบิดเครื่องยนต์
หัวเทียนมีอายุการใช้งานเท่าไหร่?
อายุการใช้งานของหัวเทียนขึ้นอยู่กับประเภทของหัวเทียนและพฤติกรรมการขับขี่ รวมถึงคำแนะนำจากผู้ผลิตรถยนต์โดยทั่วไป:
- หัวเทียนไส้ทองแดง (Copper Core): มีอายุการใช้งานสั้นที่สุด ประมาณ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร เนื่องจากทองแดงเป็นวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีแต่ทนทานต่อการสึกหรอได้ไม่มากนัก
- หัวเทียนแพลตินัม (Platinum): มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ประมาณ 60,000 – 80,000 กิโลเมตร เพราะมีปลายเขี้ยวที่เคลือบด้วยแพลตินัม ซึ่งทนทานต่อการสึกหรอและอุณหภูมิสูงได้ดีกว่า
- หัวเทียนอิริเดียม (Iridium): เป็นหัวเทียนที่มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานยาวนานที่สุด ประมาณ 100,000 – 150,000 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น เนื่องจากอิริเดียมเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อการสึกหรอและการกัดกร่อนจากความร้อนได้ดีเยี่ยม ทำให้เขี้ยวหัวเทียนมีขนาดเล็กมาก สามารถสร้างประกายไฟได้แม่นยำและเสถียร
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบคู่มือรถยนต์ของคุณเพื่อดูระยะเวลาการเปลี่ยนหัวเทียนที่ผู้ผลิตแนะนำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่แม่นยำที่สุดสำหรับรถแต่ละรุ่น
หากหัวเทียนมีปัญหาจะเป็นอย่างไร?
เมื่อหัวเทียนเสื่อมสภาพหรือมีปัญหา จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์อย่างเห็นได้ชัด สัญญาณที่บ่งบอกว่าหัวเทียนของคุณอาจมีปัญหา ได้แก่:
- เครื่องยนต์เดินสะดุด หรือเดินไม่เรียบ: เนื่องจากหัวเทียนจุดระเบิดได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้การเผาไหม้ไม่ต่อเนื่อง
- สตาร์ทรถยาก: โดยเฉพาะในช่วงเช้า หรือเมื่อเครื่องยนต์เย็น
- อัตราเร่งไม่ดี / รถอืด: เครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ไม่เต็มที่ ทำให้ตอบสนองต่อการกดคันเร่งได้ช้าลง
- กินน้ำมันมากขึ้นผิดปกติ: การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เครื่องยนต์ต้องฉีดเชื้อเพลิงมากขึ้นเพื่อสร้างกำลังงาน
- มีควันดำออกจากท่อไอเสีย: เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีเขม่าควันออกมา
- ไฟรูปเครื่องยนต์โชว์ (Check Engine Light): ระบบคอมพิวเตอร์ของรถอาจตรวจพบความผิดปกติในการจุดระเบิดและแจ้งเตือน
การเลือกประเภทหัวเทียนและหัวเทียนมีกี่แบบ?
การเลือกหัวเทียนที่เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกตามคำแนะนำจากคู่มือรถยนต์เป็นหลัก เพื่อให้แน่ใจว่าหัวเทียนมีค่าความร้อนและคุณสมบัติที่ตรงกับเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม หัวเทียนมีหลายประเภทหลัก ๆ ที่พบได้ในตลาด:
เปรียบเทียบหัวเทียนประเภทต่างๆ: ทองแดง แพลตินัม และอิริเดียม
-
- หัวเทียนไส้ทองแดง (Copper Core Spark Plugs):
- คุณสมบัติ: แกนกลางทำจากทองแดง มีการนำไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม
- ข้อดี: ราคาถูกที่สุด
- ข้อเสีย: อายุการใช้งานสั้นที่สุด สึกหรอเร็ว
- เหมาะสำหรับ: รถยนต์รุ่นเก่า หรือรถที่เน้นเปลี่ยนบำรุงรักษาตามระยะบ่อย ๆ
- หัวเทียนแพลตินัม (Platinum Spark Plugs):
- คุณสมบัติ: แกนกลางเป็นนิกเกิลหรือแพลตินัม ส่วนปลายเขี้ยวจุดระเบิดเคลือบด้วยแพลตินัม
- ข้อดี: อายุการใช้งานนานกว่าหัวเทียนทองแดง จุดระเบิดได้เสถียรกว่า
- ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าทองแดงเล็กน้อย
- เหมาะสำหรับ: รถยนต์รุ่นใหม่ขึ้นมาเล็กน้อยที่ต้องการความทนทานเพิ่มขึ้น
- หัวเทียนอิริเดียม (Iridium Spark Plugs):
- คุณสมบัติ: แกนกลางทำจากอิริเดียม ซึ่งเป็นโลหะที่แข็งและทนความร้อนสูง ทำให้สามารถทำปลายเขี้ยวให้บางเฉียบได้
- ข้อดี: อายุการใช้งานยาวนานที่สุด จุดระเบิดได้แม่นยำและเสถียรที่สุด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้และประหยัดน้ำมัน
- ข้อเสีย: ราคาสูงที่สุด
- เหมาะสำหรับ: รถยนต์รุ่นใหม่ รถที่เน้นสมรรถนะสูง หรือผู้ที่ต้องการความทนทานและประหยัดน้ำมันสูงสุด
-
-
- คุณสมบัติ: ไม่ได้มีแค่ปลายเขี้ยวกลางที่เคลือบสาร แต่ปลายเขี้ยวกราวด์ก็เคลือบด้วยสารแพลตินัมหรืออิริเดียมด้วยเช่นกัน
- ข้อดี: อายุการใช้งานยาวนานมากเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่มีระบบจุดระเบิดแบบ Waste Spark (ที่หัวเทียนบางตัวทำหน้าที่เป็นกราวด์สลับกันไป) ช่วยให้หัวเทียนทั้งสองฝั่งสึกหรอเท่ากัน
- ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าแบบเขี้ยวเดียวหัวเทียนสองเขี้ยว (Double Platinum/Double Iridium Spark Plugs):
-
- หัวเทียนไส้ทองแดง (Copper Core Spark Plugs):
วิธีการเปลี่ยนหัวเทียนด้วยตัวเอง
การเปลี่ยนหัวเทียนเป็นงานบำรุงรักษาพื้นฐานที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง หากมีเครื่องมือและความรู้พื้นฐานที่ถูกต้อง:
อุปกรณ์ที่ต้องใช้:
- หัวเทียนใหม่ (ตามประเภทและเบอร์ที่เหมาะสมกับรถคุณ)
- ประแจปอนด์ (Torque Wrench) (แนะนำอย่างยิ่ง)
- บล็อกถอดหัวเทียน (Spark Plug Socket) พร้อมข้อต่อยาว
- ประแจถอดบล็อก
- คีมถอดปลั๊กหัวเทียน (ถ้าจำเป็น)
- ผ้าสะอาด
- แปรงทำความสะอาด (ถ้ามี)
- น้ำยาหล่อลื่นสำหรับเกลียว (Anti-Seize Lubricant) (สำหรับหัวเทียนบางประเภท)
- ฟิลเลอร์เกจ (Feeler Gauge) (สำหรับตั้งระยะห่างเขี้ยวหัวเทียน หากหัวเทียนที่ซื้อมาไม่ได้ตั้งมาให้)
เครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนหัวเทียน
ขั้นตอนการเปลี่ยน:
- เตรียมความพร้อมและความปลอดภัย:
- จอดรถบนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ และปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นสนิท เพื่อป้องกันการไหม้และเกลียวเสียหาย
- ถอดขั้วแบตเตอรี่ขั้วลบออก เพื่อความปลอดภัย
- ตรวจสอบตำแหน่งของหัวเทียน (มักจะอยู่ใต้คอยล์จุดระเบิด หรือสายหัวเทียน)
- ถอดคอยล์จุดระเบิด/สายหัวเทียน:
- สำหรับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ส่วนใหญ่จะมีคอยล์จุดระเบิด (Ignition Coil) ครอบอยู่ ให้ถอดปลั๊กไฟและถอดน็อตยึดคอยล์ออก แล้วดึงคอยล์ขึ้นตรงๆ
- สำหรับเครื่องยนต์รุ่นเก่า อาจจะเป็นสายหัวเทียน ให้ใช้คีมถอดปลั๊กหัวเทียน (หรือมือดึงตรงๆ แต่ระวังอย่าดึงที่สายไฟ) ดึงจุกหุ้มหัวเทียนขึ้นตรงๆ
- คลายหัวเทียนเก่า:
- ใช้บล็อกถอดหัวเทียนสวมลงไปที่หัวเทียน และใช้ประแจคลายหัวเทียนทวนเข็มนาฬิกา
- ระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกตกลงไปในรูหัวเทียนขณะถอด
- เมื่อคลายจนหลวมแล้ว สามารถดึงหัวเทียนเก่าออกมาได้
- ตรวจสอบหัวเทียนเก่า:
- สังเกตสภาพหัวเทียนเก่า เพื่อประเมินสภาพการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ (เช่น มีคราบเขม่าดำ, คราบน้ำมันเครื่อง, หรือขาวซีด)
- เตรียมหัวเทียนใหม่:
- ตรวจสอบระยะห่างเขี้ยวหัวเทียนของหัวเทียนใหม่ ว่าถูกต้องตามสเปกของรถหรือไม่ (บางยี่ห้อตั้งมาให้แล้ว แต่ควรตรวจสอบซ้ำ) หากไม่ถูกต้อง ให้ใช้ฟิลเลอร์เกจและเครื่องมือปรับระยะห่างที่เหมาะสมปรับเบาๆ
- สำหรับหัวเทียนบางประเภท เช่น หัวเทียนที่มีเกลียวเคลือบมาจากโรงงานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทาน้ำยา Anti-Seize แต่หากไม่มีหรือเป็นหัวเทียนที่ไม่เคลือบมา ให้ทาน้ำยา Anti-Seize Thinly (บางๆ) ที่เกลียวหัวเทียนเล็กน้อย เพื่อป้องกันเกลียวยึดติด
- ใส่หัวเทียนใหม่:
- ใส่หัวเทียนใหม่ลงในบล็อกถอดหัวเทียน แล้วค่อยๆ หย่อนลงไปในรูหัวเทียน ระวังอย่าให้เกลียวเอียง
- หมุนหัวเทียนตามเข็มนาฬิกาด้วยมือเปล่าก่อน จนรู้สึกว่าตึงมือ เพื่อให้แน่ใจว่าเกลียวไม่เสีย
- เมื่อหมุนด้วยมือไม่ได้แล้ว ให้ใช้ประแจปอนด์ขันหัวเทียนให้แน่นตามค่าแรงบิดที่ผู้ผลิตกำหนด (Torque Specification) ซึ่งมักจะระบุในคู่มือรถยนต์หรือบนกล่องหัวเทียน การขันแน่นเกินไปอาจทำให้เกลียวเสีย หรือหัวเทียนแตกได้ ส่วนการขันหลวมเกินไปอาจทำให้หัวเทียนคลายตัวและเกิดความร้อนสะสม
- ประกอบกลับ:
- ใส่คอยล์จุดระเบิด/สายหัวเทียนกลับเข้าที่เดิม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสียบแน่นสนิท
- ต่อขั้วแบตเตอรี่กลับเข้าที่เดิม
- ทดสอบ:
- สตาร์ทเครื่องยนต์ และสังเกตการทำงานว่าเดินเรียบหรือไม่ มีเสียงผิดปกติหรือไม่
ข้อควรระวัง:
- ตรวจสอบเบอร์และความร้อนของหัวเทียนให้ถูกต้องกับรถยนต์ของคุณเสมอ
- อย่าใช้แรงบิดมากเกินไปในการขันหัวเทียน เพราะอาจทำให้เกลียวฝาสูบเสียหายได้
- หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาช่างผู้ชำนาญ หรือเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ
การดูแลรักษาหัวเทียนและเปลี่ยนตามกำหนดเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกด้วยครับ!